เชื่อว่าโปรแกรมเมอร์, เว็บดีไซน์เนอร์และนักรับจัดทำเว็บไซต์หลายคนอาจจะอยากทำหรือมองเห็นช่องทางทำเงินในธุรกิจเว็บโฮสติ้ง แต่การที่จะทุ่มเงินลงทุนซื้อเครื่องเซิฟเวอร์, ซอฟต์แวร์, จ้างพนักงานฝ่ายซัพพอร์ตเพื่อรับมือกับลูกค้า รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็อาจจะดูหนักไปหน่อย การเป็น reseller hosting เลยเป็นการเริ่มต้นทำธุรกิจได้ดีเพราะไม่ต้องใช้เงินเยอะ ไม่ต้องดูแลระบบเอง แค่หาลูกค้าเท่านั้น
เริ่มต้นยังไง?
เริ่มแรกควรคิดเรื่องฐานลูกค้าก่อนซึ่งถ้าหากเป็นเอเจนซี่ที่รับออกแบบและทำเว็บไซต์อยู่แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรเพราะคุณสามารถเสนอบริการเว็บโฮสติ้งให้กับลูกค้าได้เลย ข้อดีของการที่เรามีลูกค้าอยู่แล้วก็คือถ้าลูกค้าได้เว็บที่เราออกแบบและจัดทำให้แล้ว เขาต้องมองหาผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งเป็นขั้นตอนต่อไปอยู่แล้วซึ่งช่วงนี้แหล่ะเป็นจังหวะที่ดีที่เราจะเสนอขายเว็บโฮสติ้งให้ ยิ่งถ้าลูกค้าร้สึกชอบผลงานที่เราเคยทำให้อยู่แล้ว โอกาสที่เราจะขายได้ก็ยิ่งมีสูงขึ้นไปอีก (บริษัทก็จะมีกำไรสูงขึ้นไปอีก) แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีฐานลูกค้าอยู่ในมือแต่อยากลองทำธุรกิจนี้ (Reseller Hosting) แนะนำว่าควรหาลูกค้าให้ได้ก่อนสัก 2-3 รายก่อนเพื่อที่จะเป็นต้นทุนเนื่องจากคุณต้องจ่ายค่าบริการให้กับบริษัทผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งก่อน แม้จะยังไม่มีลูกค้าหรือยังไม่ได้ใช้พื้นที่นั้นก็ตาม (ส่วนใหญ่มักเก็บเป็นรายปี)
เลือกยังไง?
เมื่อคิดว่ามีกลุ่มลูกค้าที่แน่นอนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง
เลือกของไทยหรือต่างประเทศดี?
คำถามนี้เราควรดูจากกลุ่มลูกค้าหลักของเราว่าต้องการฝากเว็บไซต์ไว้ในไทยหรือต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้เข้าชมเว็บไซต์ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศหรือประเทศไทย หากอยู่ในไทยก็ให้เลือกผู้ให้บริการที่มีเซิฟเวอร์ในไทยเพราะจะช่วยให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วกว่าการใช้โฮสต์ที่มีเซิฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ นอกจากนี้ในส่วนของการให้บริการ ผู้ให้บริการในไทยก็จะติดต่อได้ง่ายเวลามีปัญหาและใช้ภาษาไทยในการติดต่อ (บางบริษัทมีทีมช่วยเหลือทั้งไทยและอังกฤษ)
ต้องมีความน่าเชื่อถือ
ข้อนี้ถือว่าสำคัญเพราะการที่เราจะทำธุรกิจร่วมกันกับเขา เขาต้องมีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ว่าเวลามีปัญหาแล้วติดต่อไม่ได้หรือบางทีอาจจะปิดบริษัทหนีไปเลย เราควรเช็คประวัติ เช่นเปิดมานานกี่ปี ทีมงานคือใครบ้าง มีลูกค้าปัจจุบันกี่ราย มีชื่อเสียงไหม
แก้ไขปัญหาได้เร็วและดี
เมื่อเว็บไซต์ลูกค้ามีปัญหาเข้าใช้งานไม่ได้คนแรกที่ลูกค้าจะคิดถึงก็คือผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง ซึ่งในกรณีที่เราเป็น Reseller Hosting ลูกค้าก็จะติดต่อมาที่เรา แต่เราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดเพราะเราเป็นเพียงนายหน้า ดังนั้นคนที่เราต้องติดต่อก็คือทีมซัพพอร์ตของเขา เพราะฉะนั้นควรเลือกบริษัทที่มีทีช่วยเหลือที่ติดต่อได้ง่าย มีช่องทางติดต่อหลากหลายและกรณีฉุกเฉินควรติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งถ้าได้บริษัทที่มีทีมช่วยเหลือเก่งๆ และมีความชำนาญก็จะยิ่งเป็นเรื่องดีเพราะบางทีเวลามีปัญหามาลูกค้าก็ต้องการคำตอบที่ลึกกว่า “ปัญหาทางเทคนิค” ซึ่งบางทีก็ฟังเหมือนข้ออ้างมากกว่า บางบริษัทยังมีบริการจับตาดูแลความเรียบร้อยของเว็บไซต์เสียด้วย โดยจะมีโปรแกรมตรวจสอบ หากเกิดปัญหาก็จะแจ้งเตือนให้เราทราบก่อนที่ลูกค้าของเราจะรู้เสียอีก
ราคาสมเหตุสมผล
ราคาก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรเลือกราคาที่สมเหตุสมผล ถ้าหากแพงเกินไปเราก็จะบวกกำไรได้น้อยแถมยังขายยาก แต่ถ้าถูกเกินไป เรื่องบริการก็อาจจะไม่ค่อยดีหรืออาจจะให้บริการเราด้วยอุปกรณ์เครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่มีประสิทธิภาพก็ได้ ดังนั้นก็ควรพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี แม้บางบริษัทอาจจะมีราคาสูงสักหน่อย แต่ถ้าเขามีฮาร์ดแวร์คุณภาพสูง พร้อมกับทีมงานที่พร้อมให้บริการที่ดีก็ย่อมคุ้มค่ากับการลงทุน อย่าลืมว่าเราไม่ได้ใช้เองแต่ลูกค้าเราเป็นคนใช้เพราะฉะนั้นถ้าค่าลูกค้าแฮปปี้ เขาก็ย่อมหมายความว่าเราจะได้ความไว้เนื้อเชื่อใจ (พร้อมกับกำไรที่จะตามมาในอนาคต)
อย่างไรก็ตาม ถ้า reseller hosting แบบนี้ยังไม่ใช่แบบที่คุณต้องการ ก็ยังมีอีกแบบที่คุณสามารถทำได้ นั่นก็คือการกินเปอร์เซ็นต์จากผู้ให้บริการ หน้าที่ของคุณก็แค่หาลูกค้า แต่รายได้ก็จะมาจากค่าเปอร์เซ็นต์หรือเงินที่ตกลงกันไว้ ข้อดีก็คือเราไม่ต้องแบกรับต้นทุนใดๆ แต่ข้อเสียก็คือรายได้น้อยกว่าแบบแรกเพราะเรากำหนดราคาเองไม่ได้