เวลาเข้าชมเว็บไซต์ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ “http://” ซึ่งก็คือช่วงต้นของ url เว็บที่เราดู เช่น http://www.domainname.co.th แต่ต่อไปนี้ช่วง “http://” จะถูกเปลี่ยนเป็น “https://” แล้วเพราะมันคือมาตรฐานของระบบรักษาความปลอดภัยให้เว็บไซต์ (SSL) ที่ดีกว่าและกูเกิ้ลให้การสนับสนุน
SSL หรือ Secure Sockets Layer คือมาตรฐานความปลอดภัยที่ใช้ระหว่างเว็บไซต์กับเบราเซอร์ซึ่งจะคอยป้องกันไม่ให้มีใครมาแฮ็กข้อมูลได้ ขณะนี้มีหลายเว็บไซต์ที่เริ่มใช้มาตรฐานนี้โดยเฉพาะเว็บช็อปปิ้งออนไลน์ที่ต้องปกป้องข้อมูลส่วนตัว (โดยเฉพาะข้อมูลการเงิน) ของลูกค้า
ทำไมต้องมี?
- เว็บไซต์ปลอดภัยเพราะมีการเข้ารหัสในการรับ-ส่งข้อมูล ทำให้โดนแฮ็กได้ยากขึ้น
- กูเกิ้ลออกมาประกาศสนับสนุนให้ทุกเว็บต้องมี SSL เพราะฉะนั้นมันจะทำให้ SEO ของเว็บคุณดีขึ้นด้วย
- เว็บโหลดเร็วขึ้นโดยสามารถใช้ HTTP/2 ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น โดยใช้ร่วมกับ HTTPS
- เดือนกรกฎาคมนี้ เบราเซอร์ Google Chrome จะเริ่มมีการแจ้งเตือนไว้แล้วว่าเว็บไซต์ไหนมีหรือไม่มี SSL โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนที่ adress bar ว่า “ไม่ปลอดภัย” (not secure) นั่นหมายความว่าถ้าลูกค้าหรือผู้เข้าชมเว็บเจอข้อความนี้ขึ้นมาก็คงจะเกิดความงุนงงหรือบางคนอาจจะปิดเว็บไปเลยก็ได้ (นั่นคงส่งผลเสียกับธุรกิจของคุณแน่นอน)
โดยปกติ SSL certificate จะมีข้อมูลเกี่ยวกับชื่อโดเมน, ชื่อบริษัท, ที่อยู่ของคุณ รวมไปถึงการระบุวันหมดอายุของ Certificate และรายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยงานผู้ออกอนุมัติมาตรฐาน
ทำยังไงถึงจะอัพเกรดเป็น SSL ได้?
การจะเปลี่ยนจาก htttp:// มาเป็น https:// ต้องมี SSL certificate ซึ่งก็คือใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ ที่เป็นไฟล์ข้อมูลขนาดเล็ก โดยได้มีการผูกไว้กับ Private Key ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เพื่อยืนยันตัวตนและความถูกต้องในการส่งข้อมูลระหว่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์กับเว็บเบราว์เซอร์หรือ Application ที่ใช้งาน มีการเข้ารหัสและถอดรหัสผ่านเทคโนโลยี SSL/TLS กรณีที่มีการแฮ็ก หรือมีคนขโมยข้อมูลของคุณไปแต่แฮ็กเกอร์ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะไม่สามารถถอดรหัสข้อมูลของคุณได้ เนื่องจากข้อมูลที่ได้ไปจะอยู่ในรูปแบบที่อ่านไม่ออก การที่จะถอดรหัสได้ต้องมีคีย์ถอดรหัสที่เหมาะสมและตรงกันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล SSL จะทำให้ข้อมูลของคุณจะยังคงปลอดภัยเสมอ
ที่ Code Orange เรามีบริการติดตั้ง SSL Certificate ให้ฟรี
Photo by Jose Fontano on Unsplash